โยชิกิ (Yoshiki) หัวหน้าวง X JAPAN วงร๊อคญี่ปุ่นระดับตำนาน ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Natalie.mu เกี่ยวกับช่วงเวลาหลายปีที่หายหน้าหายตาไป – การกลับมาอีกครั้ง – การก้าวสู่ระดับโลก….ความรู้สึกว่า ‘จะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไปแล้ว
△ ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีด้วย ที่ World Tour ครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
โยชิกิ : ขอบคุณมากครับ
△ สุขภาพในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
โยชิกิ : ก็คิดว่า (ในการ perform) มีบางทีที่เกินกำลังไปบ้างเหมือนกัน หลังจากนี้จะกลับไปอเมริกาและจะไปตรวจร่างกายครับ แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรครับ
△ เป็นทัวร์ที่ค่อนข้างหนักเหมือนกันนะ
โยชิกิ : 2 ปีก่อนหน้านี้ก็เข้ารับการผ่าตัดที่คอ จากนั้นก็มีอาการชาที่นิ้ว 3 นิ้ว (นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยมือซ้าย) ที่ยังไม่หายดีครับ ตอนนี้ก็ยังต้องทานยาที่ช่วยบรรเทาอาการชาอยู่ หมอบอกผมว่า ‘เลิกตีกลองได้แล้ว’ ตอนแรกก็คิดว่ายังไงก็ควรเซฟร่างกายไว้บ้าง แต่ตอนนั้นพอคอนเสิร์ตกำลังจะเริ่ม ก็คิดว่าเดี๋ยวก็คงชินได้เองล่ะมั้ง
△ ทำให้มีพลังขึ้นมาเลยใช่ไหม?
โยชิกิ : ผมก็ทำทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่า ‘จะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไปแล้ว’ น่ะครับ นึกแบบนี้แล้วก็ไม่ค่อยอยากเซฟร่างกายไว้เท่าไหร่ ผมจริงจังกับทุกๆ ครั้งครับ
เราสามารถใช้อนาคตเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตได้
△ DVD THE LAST LIVE ออกวางจำหน่ายแล้ว Yoshiki ซัง ดู DVD ไลฟ์ครั้งนั้นที่ผ่านมานานแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง?
โยชิกิ : ปกติแล้ว DVD นี่หลังคอนเสิร์ตจบเค้าก็จะออกวางขายกันทันที แต่ตอนนั้นผมดูภาพต่างๆ จากคอนเสิร์ตนั้นไม่ได้เลย หลังจากคอนเสิร์ตนั้นประมาณ 2 ปี ประธานบริษัทที่ดูแลเรื่องการผลิตบอกผมว่า ‘ออก DVD ซะจะดีกว่าน่า’ ก็เลยเริ่มพยายามตัดต่อ แต่ก็พยายามทำให้เสร็จไม่ไหว ทำได้ถึงแค่เพลง ENDLESS RAIN แล้วก็ทำต่อไม่ไหวน่ะครับ ตัดต่อไปน้ำตาไหลไปตลอดเลย แต่ก็ใช้เวลาเป็น 10 ปี การทำ World Tour ครั้งนี้ สิ่งที่ยิ่งไปกว่าการเผชิญหน้ากับอดีต ก็คือการพยายามมุ่งไปสู่อนาคตข้างหน้าครับ Last Live น่ะ ไม่ว่ายังไงก็เป็นสิ่งสำคัญที่ชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
△ แรงบันดาลใจที่ทำให้เริ่มคิดแบบนั้นคืออะไร?
โยชิกิ : ที่แน่ๆ เลยก็คือ ตอนนี้ทางวงก็มีกิจกรรมหลายอย่าง ก็เลยเหมือนการหันกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตน่ะครับ เมื่อก่อนนั้นมีทั้งความรู้สึกสิ้นหวัง Last Live ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้านั้น มันถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการปิดฉากทุกสิ่งทุกอย่างลง แล้วยิ่งหลังจากนั้น ตอนที่ HIDE เสียชีวิต ก็ยิ่งคิดว่า ไม่มีทางที่ Xจะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้อีกแล้ว ผมคิดว่าตัวเองจะคงจะเดินต่อไปบนหนทางของการเป็นนักแต่งเพลง หรือโปรดิวเซอร์ แทบจะไม่คิดเลยว่าจะได้ Perform ในฐานะศิลปินอีก และช่วงเวลาที่ผมคิดแบบนั้นมันก็ค่อนข้างนานครับ
△ แต่ X JAPAN ก็กลับมาทำกิจกรรมร่วมกันอีกครั้งอย่างจริงจังแล้วนะ
โยชิกิ : เป็นเรื่องที่เหมือนฝันเลยล่ะครับ
△ เรื่องที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในตอนนั้น คือการก้าวสู้ระดับโลก ตอนนี้ก็ทำได้สำเร็จแล้วนะ
โยชิกิ : ครับ ตอนนั้นรู้สึกเจ็บใจที่ต้องจบลงทั้งๆ ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับโลก เป็นช่วงเวลาแห่งความล้มเหลวในชีวิตของผมเลยนะครับ สิ่งที่ผมคิดอยู่เสมอก็คือ ความล้มเหลวนั้น คือการที่เรายอมแพ้ ก็เลยพบกับความล้มเหลว ถ้าไม่ยอมแพ้ ก็จะไม่มีทางล้มเหลวหรอกครับ แต่การจัด Last Liveขึ้นมานั้นก็เหมือนกับว่า ต้องจบมันลงทั้งๆ ที่ยังทำไม่สำเร็จ ประมาณว่า ‘อา..ทำไม่สำเร็จจริงๆ แล้วสินะ’
△ ก็เลยเป็นเหตุให้ต้องแบกรับความรู้สึกเจ็บใจในตอนนั้นมาตลอด
โยชิกิ : ครับ แต่เมื่อผ่านมา 10 ปี ตอนนี้ก็สามารถมุ่งสู่ระดับโลกได้อีกครั้งหนึ่งแล้วครับ เมื่อก่อนผมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ’เราสามารถใช้อนาคตเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตได้’ ถ้าไม่มีปัจจุบันนี้ล่ะก็ มันจะกลายเป็นอดีตที่น่าเศร้าอยู่อย่างนั้น แต่ตอนนี้กำลังก้าวไปข้างหน้า คิดว่า Last Live ครั้งนั้น เป็นจังหวะของการหยุดที่สำคัญมากครับ มันไม่ใช่ Period แต่เป็น Comma มากกว่าน่ะครับ (โยชิกิเปรียบเทียบว่าไม่ใช่การจบประโยคด้วยจุด Full stop . แต่เป็นแค่ comma , เพื่อมีสิ่งที่ยังตามมาอีก-ผู้แปล)
△ การคิดแบบนั้นได้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากเลย เรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในตอนนั้น แต่ตอนนี้กลับทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้
โยชิกิ : ตอนที่ตื่นขึ้นมาในทุกๆ วันนี้ ผมยังคิดอยู่เลยว่า นี่เรากำลังฝันไปอยู่หรือเปล่าเนี่ย? บอกตัวเองว่า นี่เรากำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่นะ ช่วงเวลาราว 10 ปีตั้งแต่ยุบวงไปนี่ ความก้าวหน้าของและอิทธิพลของอินเทอร์เน็ตเป็นอะไรที่เห็นได้ชัดมาก ทั้งเพลงของ X JAPAN ที่แพร่หลายในYOUTUBE ทั้งวง Visual Kei วงอื่นๆ ก็มีกิจกรรมและความเคลื่อนไหวต่างๆ ทำให้วงการ Visual Kei เป็นที่รู้จักในระดับโลก และพอรู้สึกตัวอีกที ก็มีแฟนเพลงของ X JAPAN เพิ่มขึ้นทั่วโลกเลยล่ะครับ
△ เรียกได้ว่าสิ่งที่ X JAPAN เริ่มต้นปูทางไว้ในตอนนั้น ได้ค่อยๆ แผ่ขยายกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ
โยชิกิ : เมื่อก่อนมีคำกล่าวที่ยิ่งใหญ่ว่า ‘ดนตรีได้ก้าวข้ามผ่านพรหมแดน ช่วงอายุ และเชื้อชาติ’ อยู่นะครับ ซึ่งมันเป็นความจริงที่ผมเองก็ยังตกใจเลย ผมคิดว่า ตอน Last Live นั้น เหมือนกับตัวผมได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความรู้สึกจากแฟนๆ ทุกคน ทำให้ผมมีชีวิตได้อีกครั้ง ผมใช้ชีวิตมาโดยที่คิดแบบนี้ ก็เลยไม่มีเรื่องอะไรที่ผมจะต้องกลัวอีกแล้วล่ะครับ
ไม่ว่ายังไง ท่อนนี้ในเพลงก็น่าจะร้องว่า ‘KURENAI ni somatta’ (น่าจะร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นมากกว่าภาษาอังกฤษ)
△ World Tour คราวนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากแฟนๆ ทุกประเทศที่ไปเล่นคอนเสิร์ต คิดว่าเพราะอะไร X JAPAN ถึงมีแฟนเพลงต่างชาติให้การสนับสนุนมากขนาดนี้?
โยชิกิ : คิดว่าไม่แปลกนะครับ ก็เหมือนกับว่าสิ่งที่ตั้งใจทำลงไปได้รับการตอบแทนกลับมา เพราะทุกครั้งก็ตั้งใจทุ่มเทให้กับดนตรีเต็มที่น่ะครับ ผมแต่งเพลงโดยใส่ความรู้สึกเข้าไป ก็เลยได้ออกมาเป็นดนตรีในแบบที่อยากจะสื่อออกไปจริงๆ แล้วก็ Live น่ะจะไม่มีการมากำหนดรูปแบบเลยสักครั้ง ผมจะทุ่มเทเต็มที่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ แน่นอนว่าตัวผมเองที่มีความคิดแบบการวางกลยุทธ์ก็ยังมีอยู่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การสื่อออกไปโดยใช้ดนตรีแบบ Pure Music นั่นก็คือดนตรีที่จับใจคนฟัง และสามารถก้าวข้ามกำแพงของเชื้อชาติและยุคสมัยได้น่ะครับ
△ ทางด้านดนตรีล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? ดนตรีของ X JAPAN นี่จะมีอารมณ์ของความเป็นญี่ปุ่นแฝงอยู่ด้วย เหมือนมีสิ่งที่เรียกว่า wabisabi อยู่ (การชื่นชมความงามตามแบบญี่ปุ่น เช่น วิถีแห่งเซน) ตรงจุดนั้นคือการสนับสนุนแฟนเพลงต่างชาติด้วยหรือเปล่า มีความคิดเห็นอย่างไร
โยชิกิ : ผมเองก็คิดอย่างนั้นจริงๆ ครับ ได้รับอิทธิพลจากดนตรีฝั่งตะวันตก แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับอิทธิพลจากดนตรีแบบญี่ปุ่นด้วย คิดว่า X JAPAN คือส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติของดนตรีทั้งสองฝั่งน่ะครับ อย่างผมเองก็ฟังทั้งเพลงคลาสสิคและเพลงป๊อปของญี่ปุ่นมาเยอะ ส่วนของฝั่งตะวันตกก็จะฟังหมดเลยทั้ง Hard rock, Punk rock และ Heavy Metal พอได้รับดนตรีเหล่านั้นเข้ามาแล้ว ผลที่ได้ออกมาคือดนตรีในแบบ X JAPAN ก็ได้ยินแฟนเพลงฝั่งตะวันตกบอกว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ด้วยครับ
△ ถ้าจะว่าไปแล้ว เนื้อเพลงที่ใช้ใน World Tour ก็มีการใช้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษด้วยใช่ไหม
โยชิกิ : ตอนแรกทัวร์อเมริกาตอนบน เริ่มโดยการใช้เนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดครับ แต่ระหว่างนั้นก็มีการคุยกันว่า ‘เพลงนี้จริงๆ แล้วถ้าเนื้อเป็นภาษาญี่ปุ่นน่าจะดีกว่านะ’ เช่นเพลง KURENAI น่ะครับ ระหว่างที่ทัวร์อเมริกาเหนืออยู่นั้น คิดว่ายังไงก็น่าจะร้องว่า ‘KURENAI ni somatta’ ก็เลยร้องเป็นภาษาญี่ปุ่น และคิดว่าเพลง Rusty Nail ที่จะใส่ในอัลบั้มใหม่นี่อาจจะทำเป็น English Version ครึ่งหลังๆ ของทัวร์อเมริกาเหนือนี่ก็มีการตั้งใจลองใส่เนื้อเพลงบางส่วนเป็นภาษาญี่ปุ่นไปด้วยครับ
△ น่าสนใจจังเลย
โยชิกิ : เหมือนกับการที่ผมชื่นชอบดนตรีสไตล์ตะวันตก เลยพยายามใส่เนื้อเป็นภาษาอังกฤษ แฟนๆ ทั่วโลกก็เลยหัดร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยกันน่ะครับ
△ รู้สึกว่าการที่มีความเป็นญี่ปุ่นเป็นส่วนประกอบนั้น เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของ X JAPAN เลย
โยชิกิ : เพราะว่า ‘KURENAI ni somatta kono ore wo’ น่ะครับ (หัวเราะ) ไม่ว่าส่วนไหนก็มีความเป็นญี่ปุ่นนะครับ
ก่อนจะยุบวงนั้น ได้หลงลืมไปว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ
△ ตั้งแต่กลับมารวมวงกันใหม่ก็ประมาณ 4 ปีแล้ว การกลับมาในครั้งนี้ X JAPAN ก็ได้ขึ้นแสดงในงานเทศกาลดนตรีอย่าง LOLLAPALOOZA, SUMMER SONIC และ a-nation ด้วย ถ้าเป็นในยุคปี 90 นี่จะไม่แสดงในงานประเภทนี้ เลยมีอิมเมจว่าเป็นวงที่ไม่ร่วมกับใคร มีความเป็นปัจเจกค่อนข้างสูง เพราะอะไรถึงเปลี่ยนความคิดนั้น?
โยชิกิ : ถ้าให้พูดสั้นๆ ก็คือว่า จะได้ย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้นได้น่ะครับ World Tour ครั้งนี้เองก็เหมือนกัน พูดแบบสุดๆ ก็คือ มีความรู้สึกว่าถ้ามีคนมาดูพวกเราล่ะก็ ต่อให้เป็นเวทีที่มีไฟแค่ดวงเดียวพวกเราก็จะเล่นครับ คิดไว้แล้วว่าถ้ามีการไปเล่นในหลายๆ ประเทศ ก็จะต้องมีความไม่ราบรื่นเกิดขึ้นบ้าง ทั้งอุปกรณ์มาไม่ถึง ต้องใช้เครื่องปั่นไฟแทน power supply บ้าง ไม่มีห้องแต่งตัวบ้าง
△ เป็นสถานการณ์ที่ไม่ต้องคำนึงถึงถ้าแสดงในญี่ปุ่นสินะ
โยชิกิ : เมื่อก่อน X JAPAN จะแสดงที่ TOKYO DOME เท่านั้นทุกปี เรื่องที่ค่อนข้าง Extreme หน่อยก็อย่างเรื่องให้เตรียมอาหารฝรั่งเศส full course ไว้ในห้องแต่งตัว (หัวเราะ) กลองก็ต้องเตรียมเผื่อเอาไว้ 3 ชุด ถ้าพังไปชุดหนึ่งล่ะก็จะได้เอาชุดต่อไปที่เตรียมไว้ออกมาเล่นต่อได้ เป็นถึงขนาดนั้นเลยครับ
△ เข้าใจแล้วล่ะ
โยชิกิ : มีการคุยกันของสมาชิกในวง และการบอกกล่าวของผู้จัดการ ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านั้น ก็รู้สึกตัวว่า ได้ลืมสิ่งที่สำคัญไปหรือเปล่าว่า พวกเราน่ะ แค่ได้อยู่ในที่ๆ สามารถเล่นดนตรีได้ เท่านั้นก็มีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ
△ เป็นเรื่องที่จะไม่รู้สึกตัวเลยถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย
โยชิกิ : หลังจากยุบวงและแยกย้ายกัน การแยกกับ โทชิ (Toshi) ในครั้งนั้นด้วย ช่วงเวลา 10 ปีแห่งความว่างเปล่านั้น ทำให้เข้าใจความรู้สึกขอบคุณในสถานการณ์ของตัวเองก่อนจะเริ่ม North America Tour ก็ได้ไปแสดงที่ LOLLAPALOOZA (งานเทศกาลดนตรีประจำปีที่ Chicago) ทั้ง Event และวันแสดงจริงไม่มีการซ้อมเลยนะครับ ออกไปเล่นจริงเลย ก่อนถึงคิวที่จะต้องออกไป ผมก็ไปเช็คกลองแล้วก็คิดว่า ถ้ากำลังเล่นๆ อยู่แล้วมันพังขึ้นมาล่ะก็ มีทางเดียวคือต้องซ่อมไปเล่นไปล่ะมั้ง (หัวเราะ) มันเริ่มจากตรงนั้น ระหว่าง North America Tour ก็มีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง รู้สึกเหมือนเล่นๆ อยู่แล้วได้กลับไปอยู่ในสมัยแรกเริ่มอีกครั้ง เมื่อก่อนที่เล่นใน Live house น่ะ ตอนนั้นมีแค่ผมกับ ฮิเดะ (HIDE) ที่มีใบขับขี่ ไม่ผมก็ ฮิเดะ เลยต้องเป็นคนขับรถตลอดเลยครับ ขับรถขนของที่ตัวเองจะใช้แสดงไปเอง ความรู้สึกในตอนนั้นย้อนกลับมาอีกครั้งแล้วล่ะครับ
△ ได้มีการแสดงในงานแสดงดนตรีใหญ่ๆ ในประเทศด้วย
โยชิกิ : ก็มีแสดงที่ SUMMER SONIC (งานแสดงดนตรีที่โตเกียวและโอซาก้า) ตอนนั้นผมได้รับเชิญไปทานอาหารค่ำกับคนรู้จัก และบังเอิญมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับงาน SUMMER SONIC มาด้วย ผมก็เลยลองพูดไปว่า ‘คราวหน้าอยากจะลองแสดงใน SUMMER SONIC ดูจังเลยครับ’ พอพูดไปแล้วเค้าก็ถามกลับมาว่า ‘จะแสดงจริงๆ น่ะหรือ?’ ผมก็ตอบไปประมาณว่า ‘จริงๆ สิครับ’ ก็เลยทำให้ได้มาแสดงจริงๆ ครับ เป็นงานที่ดีมากเลยนะ มีบรรยากาศที่ให้อารมณ์ AWAY เข้ากับ X JAPAN ได้ดีเลย และยังได้สร้างความประทับใจให้คนที่มาดูเป็นครั้งแรกและอยากให้เค้ามาเป็นแฟนเพลงของ X JAPAN เมื่อก่อนน่ะมีความรู้สึกแบบนี้ตลอด ความรู้สึกนั้น ก็เลยกลายมาเป็นความสนุกในตอนนี้น่ะครับ
เป็นวงดนตรีหน้าใหม่ในตลาดโลก
△ ช่วงปลายของยุด 90 X JAPAN ได้มีโปรเจ็คท์ยักษ์ใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับตอนนี้แล้ว รู้สึกว่าจังหวะการก้าวเดินในการทำกิจกรรมต่างๆ ตอนนี้จะต่างกันนะ
โยชิกิ : พอออกนอกประเทศ ก็เป็นธรรมดาที่จะถูกมองว่า ‘พวกแกเป็นใครกันเนี่ย?’ บางสถานการณ์ก็ต้องละทิ้งทิฐิของตัวเองไปบ้างครับ นอกจากนั้นแล้ว การที่ต้องการจะก้าวไปข้างหน้าได้นั้น ก็ต้องคิดว่าเหมือนการย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นนั่นแหละครับ แหม ถ้าพูดถึงตลาดโลกแล้วล่ะก็ พวกเราก็ยังถือเป็นวงหน้าใหม่อยู่แหละครับ
△ X JAPAN เมื่อก่อน กับ X JAPAN หลังจากกลับมารวมกันใหม่นี่ ความสัมพันธ์ของสมาชิกในวงมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม?
โยชิกิ : ก็.. นั่นสินะครับ ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศแบบนี้ ยิ่งมีเวลาอยู่ด้วยกันมาก มีการให้สต๊าฟทำงานเท่าที่จำเป็น ระยะห่างที่มีระหว่างสมาชิกแต่ละคนก็ใกล้ชิดกันมากขึ้นครับ อย่างการดื่มเหล้าด้วยกันในรถบัสที่ใช้ในการออกทัวร์คอนเสิร์ตนี่ ก็ดูสมกับเป็นวงดนตรีขึ้นมาบ้างนะครับ
△ ถ้างั้นก็ดูท่าทางว่า จากนี้ไปก็จะมีกิจกรรมอะไรให้คาดหวังอีกใช่ไหม
โยชิกิ : ตอนที่กลับมารวมวงกันใหม่ๆ ได้เล่นคอนเสิร์ตที่ Tokyo Dome 3 วัน ตอนนั้นยังไม่แน่ใจเลยครับว่า X JAPAN จะมีกิจกรรมอะไรต่อจากนั้นอีกไหม หรือจะมีแค่ตอนนั้นเท่านั้น เพราะว่ายังมีแต่ความเจ็บปวดจาก Last Live ก็เลยมีความคิดว่า กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อจะจบมันลงอย่างสวยงามดีไหม และอยากจะเติมเต็มช่วงเวลาที่ขาดหายไป แต่นอกจากนั้นก็ยังอยากจะก้าวไปข้างหน้าอยู่ เพราะฉะนั้นทัวร์คราวนี้เลยใช้เพลงเก่าที่มี และแต่งเพลงใหม่เพิ่มอีกอย่างละ 50% อยากให้จับตาดู X JAPAN ในตอนนี้ไว้นะครับ จะก้าวต่อไปโดยไม่ยอมแพ้ X JAPAN ตอนก่อนกลับมารวมตัวกันหรอกครับ
อัลบั้มใหม่เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว
△ การทำอัลบั้มใหม่ราบรื่นดีไหม?
โยชิกิ : : จริงๆ แล้วตั้งใจไว้ว่าจะให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนทัวร์ยุโรปนะครับ แต่ก็ .. (หัวเราะ)
△ แต่ว่า ตอนนี้ก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เต็มทีแล้วใช่ไหม?
โยชิกิ : ครับ อัดเสียงร้องเสร็จแล้ว กลองก็อัดเกือบเสร็จแล้ว เหลือแค่คิดว่าอยากจะใส่เพลงเพิ่มเข้าไปอีกสักเพลง ค่อนข้างกังวลนิดหน่อยนะ แต่โดยพื้นฐานแล้วทำได้ครับ
△ เนื้อหาของอัลบั้มจะเป็นแนวไหน?
โยชิกิ : จะมีทั้งเพลงเก่าและเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ครับ อยากจะออกอัลบั้มนี้ในฐานะที่เป็น X JAPAN วงที่สุดยอดอย่างที่ได้รับการพูดถึงน่ะครับ และในฐานะที่เป็นวงหน้าใหม่ในตลาดต่างประเทศ ก็อยากจะให้อัลบั้มนี้เป็นเหมือนกับนามบัตรที่แนะนำให้คนรู้ว่า ‘นี่คือ X JAPAN’ น่ะครับ
△ เพลงเก่าที่จะนำมาใส่ในอัลบั้มนี้จะเป็น English version หรือเปล่า?
โยชิกิ : ก่อนหน้า North America Tour นั้นคิดว่าจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดครับ แต่ระหว่างทัวร์ก็คิดว่า ใส่ภาษาญี่ปุ่นเข้าไปด้วยน่าจะดีกว่า แต่ก็จะไม่ให้มีภาษาญี่ปุ่นเกิน 20% ครับ
△ และก็ยังมีเพลงใหม่ที่พวกเรายังไม่เคยได้ฟังกันอยู่ด้วยใช่ไหม
โยชิกิ : มีครับ อยากจะให้ทุกคนได้รู้สึกถึงความเป็น X JAPAN ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ด้วยครับ
△ อัลบั้มจะออกประมาณเมื่อไหร่?
โยชิกิ : ถ้าบอกว่า ‘ให้ออกอัลบั้มพรุ่งนี้เลย’ ก็คงจะออกได้เฉพาะเพลงที่ทำเสร็จแล้วล่ะครับ แต่ก็นะ…
△ เหลืออีก 1 เพลงที่ยังตัดสินใจไม่ได้ใช่ไหม?
โยชิกิ : ใช่แล้วครับ แล้วก็คิดว่า ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ ความหมายของอัลบั้มก็เปลี่ยนไป ควรจะสื่อความหมายของอัลบั้มออกมาแบบไหนถึงจะดีนะ ก่อนอื่นเลยก็คิดว่า ‘อัลบั้มน่ะมันสำคัญไหม?’ ตรงส่วนนั้นก็มีบ้างที่ค่อนข้างกังวลสักหน่อยครับ
ใส่ accent แบบญี่ปุ่นในเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ
△ การอัดเสียงใช้เวลานาน จริงๆ แล้วทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น?
โยชิกิ : เอ่อ.. (หัวเราะ) ถ้าแบบชัดเจนเลยก็เช่นในเพลง JADE ที่ออกไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่หลังจากนั้นก็ได้คนที่มีชื่อเสียงระดับโลก 4 คนมาทำ mastering ให้ด้วยครับ
△ เอ๊ะ! เพลงเวอร์ชั่นเสร็จสมบูรณ์นี่มีตั้ง 4 แบบเลยเหรอ?
โยชิกิ : จะเลือกเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดมาเพียงเวอร์ชั่นเดียวน่ะครับ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่คิดมาตลอดว่าสตูดิโอของตัวเองนี่เป็นสถานที่ๆ ดีที่สุดในการบันทึกเสียงนี่ ที่จริงแล้วอาจจะกลายเป็นไม่ดีก็ได้มั้งครับ (หัวเราะ) มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือเยอะ ก็เลยต้องใช้เวลาในการเลือกเยอะว่าจะใช้อันไหนดี
△ เป็นความทุกข์ใจของคนที่มีอะไรให้เลือกมากเกินไปสินะ (หัวเราะ)
โยชิกิ : แหม แต่ก็เป็นวงที่ใช้เวลานานมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนะครับ พิจารณาอย่างละเอียดในทุกๆ จุด แต่พอรู้ตัวก็จะมองไม่เห็นภาพรวมของมันเสียแล้ว พอมามองเห็นภาพรวมทีหลัง ก็จะกลายเป็นว่า ‘ว่าแล้วเชียวว่าต้องแก้ใหม่อีกรอบ’ น่ะครับ สำหรับนักร้องนำในคราวนี้ก็จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก โทชิ เองก็มีความพยายามเรื่องการออกเสียงมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พวกเราไม่ใช่คนอเมริกันนี่นา ก็เลยมีอีกหนึ่งทางเลือกมาตลอดว่า หรือว่าควรจะใส่การออกเสียงแบบญี่ปุ่นเข้าไปด้วยสักหน่อยดีนะ
△ ใส่การออกเสียงแบบญี่ปุ่นเข้าไป?
โยชิกิ : ใช่ครับ แบบง่ายๆ โดยจะไม่ต้องทำให้เป็นภาษาอังกฤษที่ถูกต้องสวยงาม ในส่วนนี้ก็จะตั้งใจว่าจะลองใส่การออกเสียงแบบญี่ปุ่นเข้าไป
ในช่วงยุด 90 นั้น มองไม่เห็นกำแพงที่จะทำลายมันลงได้
△ หลังจากกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ทางด้านดนตรีมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม?
โยชิกิ : ไม่ได้ตั้งใจจะให้เปลี่ยนแปลงมากถึงขนาดนั้นนะครับ ไม่ว่ายังไง ก็คิดว่าอยากจะแต่งเพลงที่ตัวเองคิดว่ายอดเยี่ยมออกมาให้ได้ เพราะเพลงที่ผมเองไม่ประทับใจ ก็คงไม่สามารถจับใจคนฟังได้ใช่ไหมครับ อยากจะแต่งเพลงที่ตัวเองฟังแล้วก็ยังประทับใจออกมาน่ะครับ
△ หัวหน้าวง X JAPAN คือ YOSHIKI ซัง แต่ส่วนของดนตรีนั้น สมาชิกแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างกันไป อย่างการเข้าร่วมวงของ SUGIZO ซังนั้น ทำให้เกิดผลอะไรกับ sound ดนตรีบ้างไหม?
โยชิกิ : นั่นสินะครับ เขาน่ะเล่นไวโอลินก็เป็น ก็อยากให้มีเหมือนกันนะครับ อย่างท่อนโซโลของเพลง JADE ก็ให้ SUGIZO ลองเล่นมาหลายๆ แบบ เรื่องของโทนเสียงเองก็มีบางครั้งที่บอกว่า ‘ตรงนี้ลองใส่ noise แบบที่ชอบเข้าไปอีกหน่อยซิ’ แล้วก็เอามาเลือกทีหลังครับ
△ สมกับเป็นวงดนตรีดีนะ
โยชิกิ : อื้อ ทั้งกีต้าร์ และเบส หลักๆ แล้วจะมอบหมายให้สมาชิกวงเป็นคนแต่งครับ แต่ว่าผมเองก็จะมีคำแนะนำที่ค่อนข้างละเอียดให้อยู่เหมือนกัน (หัวเราะ)
△ พอได้มาคุยกันแบบนี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่า YOSHIKI ซังในตอนนี้เป็นคนสนุกสนานเฮฮาเหมือนกันนะ
โยชิกิ : คงอย่างนั้นมั้งครับ ก็อย่างว่า มีการมุ่งสู่ระดับโลกรออยู่ ไม่ว่าจะมีเรื่องที่น่าเศร้าอะไรเข้ามาก็คิดว่า ยังไงก็อยากจะก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้น่ะครับ
△ รู้สึกว่าความเศร้าที่เคยมีก่อนที่จะกลับมารวมตัวกัน ตอนนี้ได้เลือนหายไปเกือบหมดแล้ว เลยเผยด้านที่เป็นคนสนุกสนานร่าเริงออกมาได้
โยชิกิ : ในตอนนั้นก็เคยมีให้สัมภาษณ์ว่า ‘X JAPAN น่ะ ไม่ใช่วงอีกต่อไปแล้ว’ ด้วยนะ
△ แล้วตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้วเหรอ?
โยชิกิ : ก็ตั้งใจว่าจะให้เป็นวงน่ะครับ ถ้าไม่ใช่วงก็คงจะเล่นบนเวทีดีๆ ไม่ได้
△ YOSHIKI ซังนี่ มีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปจริงๆ ด้วยนะ
โยชิกิ : ก็สมมุติว่า ถ้ามีกำแพงมาขวางอยู่ข้างหน้า ด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้มีอยู่เต็มเปี่ยม ผมก็จะข้ามมันไป หรือไม่ก็ทำลายมันลงซะ เพียงแค่ว่าในตอนนั้น ในช่วงยุค 90 นั้น ผมมองไม่เห็นกำแพงที่จะทำลายมันลงได้ มีความรู้สึกประมาณว่า ไม่รู้ว่าจะต่อสู้กับอะไร และไม่รู้ว่าจะสู้กับมันอย่างไรน่ะครับ แต่ตอนนี้ ผมสามารถจะคิดได้แล้วว่า ไม่ว่ากำแพงนั้นจะสูงแค่ไหน หรือจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็จะทำลายมันลงให้ได้ การมองเห็นเป้าหมายที่จะมุ่งไปนั้น มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินนะครับ
ปกติแล้วใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่สตูดิโอและโรงพยาบาล
△ ส่วนใหญ่แล้ว YOSHIKI ซัง ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างไร อยากรู้สัดส่วนกิจกรรมที่ทำใน 1 วันของ YOSHIKI ซัง
โยชิกิ : ช่วงนี้ก็เพิ่งเสร็จสิ้นจากทัวร์ ก็ยังยุ่งๆ อยู่นะครับ ปกติแล้วผมเป็นโรคนอนไม่ค่อยหลับด้วย ก็เลยไม่ค่อยได้นอนหรอกครับ ส่วนใหญ่ก็จะนอนประมาณ 2 วันครั้ง
△ หา! นอน 2 วันครั้ง!?
โยชิกิ : ครับ เพราะงั้นที่อเมริกาเลยต้องมีผู้ช่วยอยู่ 4 คน เพื่อให้คอยช่วยดูแลผมได้ตลอดเวลาที่ผมตื่นน่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม อย่างบางทีผมก็เข้าไปทำเพลงที่สตูดิโอตอนตี 2 บ้าง ถึงคุณหมอจะบอกผมว่า ‘ไม่ดีเลยนะ’ ก็เถอะ
△ อย่างนั้นเองสินะ (หัวเราะ) แล้วตอนนี้อาศัยอยู่ที่ลอสแอนเจลิสใช่ไหม?
โยชิกิ : ที่อยู่ตามทะเบียนบ้านอยู่ที่นั่นครับ แต่จากนี้ไป ก็อยากจะไปยุโรปแล้วก็เอเชียให้มากขึ้นจังเลย
△ ถ้าไม่ใช่ระหว่างทัวร์ ส่วนใหญ่ตอนตื่นจะทำอะไรบ้าง?
โยชิกิ : ปกติแล้วก็จะไปหาหมอ หรือไม่ก็บันทึกเสียงอยู่ในสตูดิโอน่ะครับ จริงๆ ร่างกายผมไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ก็จะไปเข้ารับการให้ยา (หรืออาจจะเป็นพวกวิตามิน) ทางเส้นเลือดประมาณสัปดาห์ละครั้ง นอกนั้นก็จะอยู่ที่สตูดิโอตลอดครับ
△ มีกิจกรรมอะไรเป็นงานอดิเรก?
โยชิกิ : เมื่อก่อนผมชอบรถนะครับ แต่ตอนนี้อะไรน้า … อ๋อ พอทำ World tour ก็อยากเรียนภาษาน่ะครับ ตอนนี้ก็เรียนภาษาฝรั่งเศสอยู่ตลอด เร็วๆ นี้ก็คงจะเป็นภาษาสเปน กับภาษาจีนล่ะมั้ง
△ มีเวลาเท่าไหร่ก็ไม่พอสินะ
โยชิกิ : แต่เวลาเรียนภาษาเนี่ย เราไม่ควรจะคิดถึงเรื่องอื่นเลยใช่ไหมครับ ต้องมีสมาธิกับสิ่งที่เรียนอยู่ จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ถ้าเกิดคิดทั้งเรื่องทัวร์ ทั้งเรื่องบันทึกเสียง ก็จะทำให้เหนื่อยน่ะครับ ต้องไม่คิดอะไรเลย ตอนที่เรียนภาษาอยู่เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกผ่อนคลายน่ะครับ
△ ถ้าอย่างนั้นก็ จะรอติดตามอัลบั้มใหม่นะ หลังจากนั้นก็จะมีไลฟ์อีกใช่ไหม?
โยชิกิ : ใช่แล้วครับ คราวนี้คิดว่าจะเป็นช่วงที่ออกอัลบั้มนี่แหละครับ
ขอบคุณผู้แปล : When sun goes down
Credits: Pantip.com PINGBOOK ENTERTAINMENT
ขอบคุณมากๆค่ะรออัลบัมใหม่ของ X jAPAN ค่ะ