อีกไม่ถึง 1 เดือนแล้ว ที่ คอหนังในไทยจะได้ชม แอนิเมชั่นเรื่องแรก จาก สตูดิโอ โพนอค โดยจุดเริ่มต้นของ Mary and the Witch’s Flower เกิดขึ้นเมื่อ โยชิอากิ นิชิมูระ โปรดิวเซอร์มากฝีมือ แห่ง Studio Ghibli ที่เคยอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Howl’s Moving Castle (2004) และมีผลงานที่ได้ชิงรางวัลออสการ์สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยมถึงสองเรื่องได้แก่ The Tale of Princess Kaguya (2013) และ When Marnie Was There (2014) ตัดสินใจเปิดสตูดิโอใหม่ขึ้นมาเป็นของตัวเองในเดือนเมษายนปี 2015 โดยได้แอนิเมเตอร์หลายคนจาก Studio Ghibli ตามมาอยู่ที่ใหม่นี้ด้วย โดยชื่อของสตูดิโอได้ มาจากภาษา Serbo-Croatian ว่า ponoc ซึ่งแปลว่า “เที่ยงคืน” ซึ่งสื่อความหมายว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวันใหม่เหมือนกับที่พวกเขาได้สานต่อตำนานอันยิ่งใหญ่ของ Studio Ghibli ให้มาสู่ยุคใหม่ในสไตล์ของตัวเอง โดยสัญลักษณ์ของบริษัทยังเป็นรูปนาฬิกาที่เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนอีกด้วย
ทีมงานที่ตามมาด้วยมีทั้ง โยชิยูกิ โมโมเสะ (key animator จาก Porco Rosso, Spirited Away, Tales from Earthsea) และ ฮิโรมาสะ โยเนะบายาชิ ผู้กำกับที่เคยร่วมงานกันจาก When Marnie Was There มาทำโปรเจ็คนี้ด้วยคำชวนว่า “ มาช่วยกันสร้างแอนิเมชั่นอย่าง Kiki’s Delivery Service สำหรับยุคศตวรรษที่ 21 กันเถอะ” โยเนะบายาชิ เลือกที่จะนำเอานิยายชื่อดังเรื่อง The Little Broomstick ของ แมรี่ สต๊วร์ต มาดัดแปลงโดยใช้ชื่อว่า Mary and the Witch’s Flower และชักชวน ริโกะ ซาคากุชิ ผู้เขียนบทจากเรื่อง The Tale of the Princess Kaguya มาเป็นมือเขียนบทให้ โดยทั้งหมดยอมทำงานกันอยู่ในร้านกาแฟอยู่เป็นเวลานานกว่า นิชิมูระ จะสามารถหาตึกออฟฟิศได้
โยชิอากิ นิชิมูระเผยถึงความรู้สึกของการออกมาตั้งบริษัทเองว่าเขามีทั้งความรู้สึกโล่งใจและก็กลัวไปพร้อมๆ กัน ตอนช่วงแรกเขาเครียดจนน้ำหนักลดไปถึง 10 กิโลกรัม เขาคิดมากเพราะเป็นคนที่ทำงานกับ Ghibli มานานและรักงานของ Ghibliทุกชิ้นเขาเป็นคนที่รู้ถึงเรื่องคุณภาพแบบ Ghibli มากกว่าใครแต่เมื่อ Ghibli ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงเขามีทีมงานหลายคนลาออกไป เขาไม่อยากให้งานที่เขารักต้องสูญสิ้นไป เขายังอยากทำอนิเมชั่นที่สนุกสำหรับทุกวัยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เขาจึงต้องเริ่มสร้างสตูดิโอใหม่ขึ้นมา แม้ว่าจะไม่มีเงินไม่มีทีมงาน ไม่มีแม้กระทั้งสถานที่ แต่เขาก็เริ่มต้นมันด้วยความมุ่งมั่น
MARY AND THE WITCH’s FLOWER แมรี่ผจญแดนแม่มด 21 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์