หลังประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายและได้รับความรักมากมายจากบทนำในภาพยนตร์ “Eien no Zero (The Eternal Zero)” และ “Higurashino-Ki (A Samurai Chronicle)” เมื่อปลายปี 2013 และ 2014 ที่ผ่านมา ในปี 2015 นี้ นักร้อง-นักแสดงหนุ่มที่เปรียบเสมือนเพชรเม็ดงามแห่งค่ายจอห์นนี่ส์ โอคาดะ จุนอิจิ (Okada Junichi) ขอท้าทายสมรรถนะทางร่างกายที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมของตัวเองอีกครั้งกับบทนักไต่หลังคาโลกในภาพยนตร์ “Everest: Kamigami no Itadaki” (Everest: the Summit of Gods)
“Everest: Kamigami no Itadaki” เป็นภาพยนตร์ที่อ้างอิงเนื้อหามาจากบทประพันธ์ดั้งเดิมของ ยูเมะมาคุระ บากุ (Yumemakura Baku) เล่าเรื่องราวของ ฟุกะมาจิ มาโกโตะ (รับบทโดย โอคาดะ จุนอิจิ) ช่างภาพหนุ่มที่บังเอิญไปพบเข้ากับกล้องถ่ายภาพที่คาดว่าน่าจะเป็นของนักไต่เขาชาวอังกฤษ จอร์จ มัลลอรี (George Mallory) ผู้ที่หายตัวไปในยอดเขาเอเวอเรสต์ก่อนจะพบร่างของเขาในปี 1999 มาโกโตะ ติดใจหลงใหลในชีวประวัติของ มัลลอรี ว่าเขาสามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกลูกนี้ได้หรือไม่ เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นการปีนเขาของตัวเองไปพร้อมกับนักปีนในตำนาน โจจิ ฮาบุ (รับบทโดย อาเบะ ฮิโรชิ) นักไต่เขาอัจริยะผู้แยกตัวเองออกมาจากสังคมเนื่องด้วยบุคลิกเป็นคนใจร้อนบุ่มบ่าม โดยนอกจาก โอคาดะ จุนอิจิ และ อาเบะ ฮิโรชิ ยังมีนักแสดงสาว มาชิโกะ โอโนะ (Machiko Ono) ที่จะมารับบทเป็น คิชิ เรียวโกะ หญิงสาวที่มีใจรักในการปีนเขาผู้ซึ่งพยายามออกตามหา มาโกโตะ
เนื่องจากฉากหลังของภาพยนตร์เป็นยอดเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก การถ่ายทำภาพยนตร์จึงต้องตะลุยกันขึ้นไปในระดับความสูง 6,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลเพื่อให้เกิดความสมจริงมากที่สุดและเพื่อให้ได้ภาพที่มีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าทำขึ้นมาด้วย CG (คอมพิวเตอร์กราฟฟิค) โอคาดะ เตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในสภาพภูมิกาศอันแสนทรหดที่ระดับความสูงดังกล่าวด้วยการเริ่มต้นฝึกฝนร่างกายให้คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสภาพออกซิเจนในอากาศลดต่ำ และนอกเหนือจากการฝึกฝนความชำนาญในด้านศิลปะป้องกันตัวที่ซึ่ง โอคาดะ มีทักษะอยู่พอสมควรแล้ว เขายังเริ่มต้นฝึกปีนก้อนหินและภูเขาเพื่อให้ร่างกายได้ทักษะและการปรับตัว ไม่เพียงเท่านั้นเขากำลังตั้งเป้าเข้ารับการฝึกฝนภายในห้องจำลองภูมิอากาศแบบออกซิเจนต่ำอยู่ด้วย โอคาดะ เผยว่าตัวเองตั้งตารอให้ถึงวันถ่ายทำที่เอเวอเรสต์และพร้อมรับมือกับสภาพการถ่ายทำอันแสนทรหดที่จะเกิดขึ้นที่นั่น ด้าน อาเบะ ฮิโรชิ และ มาชิโกะ โอโนะ เองก็ต้องเข้ารับการฝึกฝนการปีนเขาด้วยเช่นกัน
ภาพยนตร์เรื่อง “Everest: Kamigami no Itadaki” อยู่ระหว่างการเตรียมการมานานถึง 5 ปีเต็มที่ซึ่งโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์กล่าวถึงความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับนักแสดงที่ยอมรับเล่นบทโหดบทนี้เข้าจนได้ สำหรับการถ่ายทำนั้นจะเริ่มต้นที่ประเทศเนปาลในเดือนมีนาคมนี้ไปจนถึงช่วงซัมเมอร์ภายใต้งบประมาณการถ่ายทำที่สูงถึง 1.5 พันล้านเยน โดยเหล่านักแสดงและทีมงานทุกคนจะได้รับสิทธิ์ประกันภัยแบบพิเศษสำหรับโปรเจคที่เสี่ยงอันตรายมากเช่นนี้
ภาพยนตร์ “Everest: Kamigami no Itadaki” มีกำหนดเข้าฉายในปี 2016
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ยอดเขาเอเวอเรสต์ และ จอร์จ มัลลอรี (George Mallory)
ยอดเขาเอเวอเรสต์ (Mount Everest) เป็นยอดเขาหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัยและเป็นจุดแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศเนปาลและทิเบต ซึ่งเกิดจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียนและแผ่นเปลือกโลกอินเดีย คนทั่วไปจดจำชื่อเอเวอเรสต์ได้ในฐานะยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งมีความสูง 8,844.43 เมตร (29,017 ฟุต 2 นิ้ว) จากระดับน้ำทะเล
ในปี ค.ศ. 1924 คณะเดินทางจากอังกฤษคณะที่สามเดินทางเข้าใกล้ยอดเขาเอเวอเรสต์ จอร์จ มัลลอรี (George Mallory) และ แอนดรู เออร์ไวน์ (Andrew Irvine) ตัดสินใจเดินทางขึ้นสู่ยอดเขา การเดินทางของเขาทั้งสองในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันหวนกลับ วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 12.50 น. นักเดินทางคนอื่นๆ เห็นทั้งสองอยู่ไม่ไกลจากยอดเขา จากนั้นมีเมฆลอยมาปกคลุม และไม่มีใครเห็นทั้งสองคนนี้อีกเลย ในปี ค.ศ. 1979 หวังฮงเป่า (Wang Hongbao) นักปีนเขาชาวจีนบอกกับเพื่อนร่วมทางว่าเขาพบศพศพหนึ่งในปี ค.ศ. 1975 และนั่นน่าจะเป็นศพของ เออร์ไวน์ แต่โชคไม่ดีที่ หวังฮงเป่า ตกเขาเสียชีวิตไปก่อนที่จะได้บอกอะไรเพิ่มเติม ในปี ค.ศ. 1999 คณะเดินทางวิจัยมัลลอรี-เออร์ไวน์ (Mallory and Irvine Research Expedition) ได้พบศพของ มัลลอรี ใกล้แคมป์จีนเก่า ส่วนศพของ เออร์ไวน์ นั้นแม้จะมีการค้นหาอย่างหนักหน่วงในปี ค.ศ. 2004 แต่ก็ยังไม่พบ
เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักปีนเขาว่า มัลลอรี และ เออร์ไวน์ ได้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์แล้วหรือไม่ นักปีนเขาส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า มัลลอรี และ เออร์ไวน์ ได้ไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าทั้งคู่ได้ไปถึงหินขั้นที่สอง (การไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์จากทางด้านเหนือต้องผ่านหินสามขั้น) แต่นักปีนเขาทั้งหลายเชื่อว่าถ้าทั้งคู่ผ่านตรงนี้ไปได้ การไปถึงยอดเขาก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก เพราะไม่มีอุปสรรคใหญ่ใดๆ อีกแล้ว
Credit: jnewseng, jnews1, nikkan sports, aramajapan, wikipedia